อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora: CITES) หรือที่เรียกกันว่าอนุสัญญาไซเตส หรืออนุสัญญาวอชิงตัน (Washington Convention) จัดทำขึ้นในปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) เพื่อระงับมิให้มีการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ทั้งที่มีชีวิต ซาก และอวัยวะ) และเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์และพืชหลายชนิด โดยอาศัยการออกใบอนุญาตและการควบคุมปริมาณการส่งออกและนำเข้า (Quota) เป็นเครื่องมือในการควบคุมการค้าสัตว์และพืชคุ้มครอง ประเทศไทยได้ลงนามรับรองอนุสัญญาในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) และให้สัตยาบันในปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526)
รายการพืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้อนุสัญญานี้จะแบ่งออกเป็น 3 บัญชี ได้แก่ บัญชี 1 เป็นรายการชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่ถูกคุกคามจากการสูญพันธุ์ ซึ่งเป็นรายการที่ห้ามค้าระหว่างประเทศ บัญชี 2 เป็นรายการชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่อาจจะถูกคุกคามจากการสูญพันธุ์ ซึ่งอาจจะมีการเคลื่อนย้ายข้ามประเทศได้ แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแล และส่วนใหญ่จะเป็นการเคลื่อนย้ายเพื่อการศึกษาวิจัย มิใช่เพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ และบัญชี 3 เป็นรายการชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่ประเทศภาคีขอควบคุมภายใต้ขอบเขตอธิปไตยของตนและขอความร่วมมือไปยังประเทศภาคีอื่นๆ ในการควบคุมการค้า ซึ่งสามารถมีการค้าขายได้แต่ต้องไม่ทำให้เกิดปัญหาการสูญพันธุ์ในประเทศผู้ส่งออก อย่างไรก็ดี อนุสัญญาไซเตสไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าสัตว์ทั่วไป
การประชุมรัฐภาคีครั้งที่ 16 (COP16) ณ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 – 14 มีนาคม พ.ศ. 2556 สรุปได้ความว่า (ก) การค้าสัตว์ป่าและพืชป่าอย่างผิดกฎหมาย มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่สี่รองจากการค้ายาเสพติด การค้าของปลอม และ การค้ามนุษย์ (ข) ความขัดแย้งกันระหว่าง ความจำเป็นต้องการดำรงชีพของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ป่า กับ การขจัดการค้าระหว่างประเทศของผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์ป่า ยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ต่อไป (ค) ยังมีการโต้แย้งกันในประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างการค้าภายในประเทศกับการค้าระหว่างประเทศ (เช่น การอนุญาตให้ค้าขายภายในประเทศได้ ก็อาจจะไม่สามารถควบคุมการค้าต่างแดนได้) และ การโต้เถียงกันในประเด็นการห้ามค้าภายในประเทศ ในขณะที่ตลาดในต่างประเทศยังมีการส่งเสริมการขยายพันธุ์ (international markets proliferate) เช่น ชิ้นส่วนของเสือที่มีการเพาะเลี้ยงในจีน (ง) การปรับปรุงกฎระเบียบหรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่กระตุ้นให้ชุมชนได้มีส่วนในการอนุรักษ์พืชและสัตว์ป่ามากขึ้น ซึ่งคาดว่ากฎระเบียบดังกล่าวนี้จะช่วยลดการค้าโดยเฉพาะพืชและสัตว์ป่าที่มีความเปราะบางต่อการถูกรุกรานและไล่ล่า (highly-vulnerable species) เช่น การใช้ใบอนุญาตให้ล่าหมีขั้วโลก เหนือของแคนาดา แต่กลับก่อให้เกิดการล่าอย่างผิดกฎหมาย ส่วนการควบคุมการค้า Porbeagle Sharks อาจจะทำให้ไม่มีการรายงานการจับฉลามโดยบังเอิญ (bycatch) ของเรือประมง แต่ในกรณีของแอฟริกาใต้ที่ประสบความสำเร็จในการผสมพันธุ์แรด (captive-breeding rhino) เป็นหนทางหนึ่งในการสร้างรายได้ให้ชุมชนและลดการล่าสัตว์ [ที่มา: www.iisd.ca/cites/cop16 Earth Negotiations Bulletin Vol. 21 No. 83]
อาเซียนและอนุสัญญาไซเตส
ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศต่างให้ความใส่ใจเรื่องการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ (รวมทั้งผลิตภัณฑ์ของสัตว์และพืชนั้น) โดยแต่ละประเทศได้มีความพยายามในการออกกฎหมายภายในประเทศใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีของอนุสัญญา และมีความพยายามในการปรับกฎหมายเดิมให้มีความเข้มงวดเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับพันธกรณีของอนุสัญญา (ตารางที่ 5.6)
อย่างไรก็ดี แต่ละประเทศย่อมมีอิสระในการจัดทำรายการบัญชีพืชและสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ เพราะแต่ละประเทศมีสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน และมีบริบททางเศรษฐกิจแตกต่างกันด้วย เช่น ในประเทศกัมพูชาและในประเทศไทยมีการเลี้ยงจระเข้เชิงพาณิชย์ (Siamese crocodile farming) และการเลี้ยงและจับงูเห่า (cobra) ในประเทศอินโดนีเซียมีการเลี้ยงและการค้างู (Phyton) และชิ้นส่วนของงู (เช่น หนังงู) ซึ่งทางการอินโดนีเซียจัดอยู่ในบัญชี 2 ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจัดให้จระเข้และงูเป็นสัตว์ในบัญชี 1 หรือ บัญชี 2 เป็นต้น
ที่มา: นิรมล สุธรรมกิจ และคณะ (2555). “โครงการการเปรียบเทียบมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสมาชิกประชาคมอาเซียน”. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.